จากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(Universal
Declaration of Human Rights หรือ UDHR) ข้อ 1 ที่ระบุไว้ว่า
บุคคลชอบที่จะมีสิทธิและเสรีภาพประดามีที่ระบุไว้ในปฏิญาณนี้
ทั้งนี้โดยไม่มีการจำแนกความแตกต่างในเรื่องใดๆ เช่น เชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา
ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือทางอื่นใด ชาติหรือสังคมอันเป็นที่มาเดิม ทรัพย์สิน
กำเนิด หรือสถานะอื่นใด
นอกจากนี้การจำแนกข้อแตกต่างโดยอาศัยมูลฐานแห่งสถานะทางการเมืองทางดุลอาณาหรือทางเรื่องระหว่างประเทศของประเทศ
หรือดินแดนซึ่งบุคคลสังกัดจะทำมิได้
ทั้งนี้ไม่ว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นเอกราชอยู่ในความพิทักษ์
มิได้ปกครองตนเองหรืออยู่ภายใต้การจำกัดแห่งอธิปไตยอื่นใด1
          
หมายถึง
สิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนได้รับอย่างเสมอภาคกันเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสันติสุข
มีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพ มีไมตรีจิต และมีความเมตตาต่อกัน โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ
สีผิว เพศ อายุ ภาษา ศาสนา สถานภาพทางกาย หรือสุขภาพ2
          
หมายถึง
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุย์ สิทธิเสรีภาพ
และความเสมอภาคของบุคคลที่ได้รับการคุ้นครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
หรือตามกฏหมายไทยหรือสนธิสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคี3
           หมายถึง
สิทธิของความเป็นมนุษย์ ผู้ที่เป็นมนุษย์ย่อมมีสิทธิดังกล่าว
ตั้งแต่เกิดจนตายโดยปราศจากข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
มนุษย์เท่านั้นที่มีสิทธินี้ และสิทธินี้เกิดขึ้นโดยติดตัวมนุษยตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย4
           หมายถึง
สิทธิของบุคคลที่ได้รับการคุ้มครอง
โดยหลักบังคับของกฏหมายภายใต้หลักการเกียรติศักดิ์ สิทธิที่เท่าเทียมกัน
ความเสมอภาค ที่จะเป็นการส่งเสริมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข5
           หมายถึง
สิทธิที่ทุกคนมีอยู่ในฐานะเป็นมนุษย์
ทั้งสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในส่วนบุคคลและสิทธิในการอยู่ร่วมกันในสังคม
สิทธิในความเป็นมนุษย์นั้น
มีทั้งสิทธิตามกฏหมายและสิทธิที่มีอยู่โดยไม่ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของกฏหมาย
แต่เป็นสิทธิที่เกิดจากมาตรฐานเพื่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม
แต่เดิมสิทธิมนุษยชนจะกล่าวถึงในชื่ออื่น เช่น สิทธิในธรรม สิทธิในธรรมชาติ
เป็นต้น6
          
หมายถึง
สิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความเท่าเทียมกันในแง่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิ
เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว
เพศ อายุ ภาษาศาสนา และสถานภาพทางกายและสุขภาพรวมทั้งความเชื่อทางการเมือง
หรือความเชื่ออื่นๆที่ขึ้นกับพื้นฐานทางสังคม
สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดหรือโอนให้แก่ผู้อื่นได้7
ลักษณะของสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ
           ประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
คือ
           1.
สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน(Primary Right) มนุษย์ที่เกิดมาในโลก
ต่างมีความเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
           2.
สิทธิส่วนบุคคล(Personal Right) เป็นสิทธิส่วนตัวของบุคคลที่ผู้อื่นจะล่วงละเมิดมิได้
เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเเต่ละบุคคล
           3.
สิทธิของพลเมือง(Civil Right) เป็นสิทธิของประชาชนในฐานะที่เป็นพลเมืองเเห่งรัฐ
เป็นสิทธิที่เกี่ยวข้องตามกฏหมาของรัฐ ซึ่งสิทธิพลเมืองได้เเก่
               3.1
สิทธิทางสังคม (Social Rigth) เป็นสิทธิของประชาชนทางสังคมที่จะได้รับบริการจากสังคม
ในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคม เช่น สิทธิการเข้าถึงการบริการสาธารนะ เป็นต้น
               3.2
สิทธิทางสวัสดิการสังคม (Social Welfare Right) เป็นสิทธิของประชาชนทุกคนที่จะได้รับสวัสดิการทางสังคม
เช่น สิทธิการได้รับการศึกษา ฯลฯ
               3.3
สิทธิทางวัฒนธรรม (Cultural Right) ได้เเก่ สิทธิเข้าร่วมในพิธีกรรม ประเพณีวัฒนธรรม
ของประชาคมในด้านศิลปะต่างๆ6
 สิทธิมนุษยชน
ความสำคัญของสิทธิมนุษยชน
          สิทธิมนุษยชนมีความสำคัญในฐานะที่เป็นอารยะธรรมโลก
(World Civilzation) ของมนุษย์ที่พยายามวางระบบความคิดเพื่อให้คนทั่วโลกเกิดความระลึกรู้
คำนึงถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่ยอมรับความเป็นมนุษย์ ศักดิ์ศรี
ชาติกำเนิด สิทธิต่างๆที่มีพื้นฐานมาจากความชอบธรรม
ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งสิทธิตั้งแต่กำเนิด โดยให้ความสำคัญกับคำว่าชีวิต (Life)
7(ชะวัชชัย
ภาติณธุ,2548:3)
นอกจากนี้แล้วสิทธิมนุษยชนยังมีความสำคัญในแง่ของการเป็นหลักประกันของความเป็นมนุษย์สิทธิและ
เสรีภาพ
และสภาวะโลกปัจจุบันเรื่องของสิทธิมนุษยชนก็ไม่ใช่เรื่องประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น
หากแต่เป็นเรื่องที่สังคมทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ เพราะประเทศไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
ผูกพันตามพันธกรณีแห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
และที่สำคัญเรื่องของสิทธิมนุษยชนยังได้ถูกนำไปใช้ในทางการเมือง
เศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น
การละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่าทำให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปคว่ำบาตรทางการฑูต
การงดการทำการค้าด้วย
หรือกรณีการส่งกองกำลังทหารของสหประชาชาติเพื่อเข้าไปยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ในบอสเนีย เฮอร์เซโกวิน่า และในโคโซโว ของอดีตประเทศยูโกสลาเวีย เป็นต้น (กุมพล
พลวัน, 2547:2-3) ด้วยสาเหตุและความสำคัญดังกล่าวมาข้างต้น
เราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการศึกษาเรื่องสิทธิมนุษยชน
เพราะมีความสำคัญทั้งในด้านสังคมโลกและการสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทย
สิทธิมนุษยชนจะครอบคลุมสิทธิต่างๆในการดำรงชีวิตของมนุษย์
           เพื่อให้มีชีวิตที่ดีในสังคม
ดังนี้
           -
สิทธิในชีวิต
ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้และได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัยได้รับการตอบสนองตามความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต
ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย
ทุกชีวิตล้วนมีคุณค่าด้วยกันทั้งสิ้น
ไม่วาจะเป็นบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อการดำรงชีวิตอยู่เป็นพิเศษจากผู้อื่น
เช่น คนพิการ คนชรา ฯลฯ ดังนั้นทุกคนควรปฏิบัติต่อบุคคลด้อยโอกาส ให้ความสำคัญ
ให้โอกาสและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เพื่อให้ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันมากที่สุด
           -
สิทธิในการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเองตามแนวทางที่ถูกต้อง
คนในสังคมต้องให้โอกาสกับคนที่เคยกระทำไม่ถูกต้อง
ให้โอกาสคนเหล่านี้ได้รับการอบรมแก้ไขและพัฒนาตนเองใหม่ ให้สามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น
มีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น
           -
สิทธิในการยอมรับนับถือ
หมายถึง การที่บุคคลพึงปฏิบัติต่อกันด้วยการยอมรับซึ่งกันและกัน
ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีและคุณค่าของชีวิตด้วยความเท่าเทียมกัน6
สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
           พัฒนาการการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์/สิทธิมนุษยชนในสังคมนั้นมีมายาวนาน
สถานการณ์สำคัญของสังคมไทยที่ถือว่าเป็นมิติการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ
ตั้งแต่ในยุคเริ่มเปิดประเทศภายหลังสนธิสัญญาเบาริ่ง,เหตุการณ์ร.ศ.103
ที่ชนชั้นสูงบางกลุ่มเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครอง เหตุการณ์ร.ศ.
130ที่คณะทหารหนุ่มก่อการกบฏเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
           การปฎิวัติ 2475 ที่ปรากฏพร้อมหลัก 6
ประการของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งกล่าวถึงหลักสิทธิเสมอภาคและความเป็นอิสรเสรีภาพ,การต่อสู้ในยุคเผด็จการทหารนับหลังจากรัฐประหาร
2490 จนถึงยุคของระบบปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ นับตั้งแต่ปี 2501 เรื่อยมา (จรัญ
โฆษณานันท์, 2545:519)
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าแม้ไทยจะให้การรับรองปฎิญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตั้งแต่ปี
2491 แต่แนวคิดสิทธิมนุษยชนแบบอุดมการณ์เสรีนิยมตะวันตกก็เติบโตอย่างเชื่องช้าในสังคมไทย
ท่ามกลางบริบททางการเมืองที่ล้าหลังเป็นเผด็จการ
แม้จะมีการต่อสู้และเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพอย่างเข้มข้น เช่นในช่วง
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หลังเหตุการณ์ 6ตุลาคม 2519ซึ่งต่อมาเรื่องของมนุษยชนเป็นปรากฏการณ์ความสนใจและมีการถกเถียงกันอย่างมาก
จนกระทั่งมีการก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนขึ้นเพื่อศึกษากฎหมายหรือร่าง
พ.ร.บ.ที่แย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อสิทธิมนุษยชน ทั้งปัญหาภายในและภายนอกประเทศ
ในสมัยของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ แต่ก็ล้มเหลวเพราะความไม่ต่อเนื่องของอายุของสภาผู้แทนราษฎร
และความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการทำงาน
รวมทั้งเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองและแม้ภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
ที่ถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงครั้งสำคัญของไทย
ซึ่งชัยชนะของประชาชนมีผลผลักดันสร้างสำนึกสิทธิมนุษยชนที่จริงจังในสังคมไทย
และการสร้างกลไกต่างๆเพื่อป้องกันอำนาจเผด็จการทางทหาร และรัฐบาลของนายอานันท์
ปัณยารชุนได้บริหารประเทศได้นำประเทศเข้าสู่สมาชิกของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง
จนถึงการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับบปี 2540
ที่ดูจะเป็นความหวังของผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ไร้อำนาจที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน
เป็นหนึ่งกลไกสำคัญของรัฐที่มีบทบาทในระดับหนึ่งในด้านการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
ซึ่งยังมีอาชีพอื่นอีกที่ทำหน้าที่นี้ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม
ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา เป็นต้น
แต่ดูเหมือนรากเหง้าและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ยังดำรงอยู่ในสังคมไทย
อันเป็นผลมาจากหลายสาเหตุ เช่น ระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบเผด็จการ อำนาจนิยม
ระบบทุนนิยม หรือวิถีพัฒนาที่มิได้เอาความเป็นมนุษย์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นที่ตั้ง
วัฒนธรรมความเชื่อที่ล้าหลังจนก่อมายาคติผิดๆที่ไม่ศรัทธาคุณค่าความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียม
เป็นผลให้เกิดความรุนแรงและสนับสนุนการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชนจนฝังรากลึกมาถึงปัจจุบัน
(จรัญ โฆษณานันท์, 2545:522-526)
           สังคมไทยปัจจุบันเน้นความสำคัญของภาคเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือระบบตลาดได้ครอบงำเศรษฐกิจโลก
และภายใต้ระบบตลาดเศรษฐกิจทุนนิยมดังกล่าว
ได้ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่มาพร้อมกับเศรษฐกิจในระบบตลาด
ภายใต้เงื่อนไขของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ
ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขึ้นโดยในที่นี้จะขอกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นผลมาจากการพยายามก้าวไปสู่ความทันสมัย
รัฐบาลได้ใช้กฎหมายโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดกับชุมชน
เห็นได้จากการจัดการทรัพยากรในภาคอีสาน เช่น การประกาศเขตวนอุทยานกับที่ดินทำกินของชาวบ้าน
การให้สัมปทานป่าแก่กลุ่มอิทธิพลภายนอกชุมชน
ด้วยการส่งเสริมการปลูกพืชพาณิชย์และการพัฒนาอุตสาหกรรม (เสน่ห์ จามริก, 2546:35-40)
           ตัวอย่างหนึ่งของการละเมิดสิทธิมนุษยชน คือ
กรณีเขื่อนปากมูล ที่หลังจากการสร้างเขื่อนได้ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไป
ระบบนิเวศที่ลุ่มน้ำมูลก็ถูกเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤตในการทำมาหากิน
ชาวบ้านบางส่วนต้องอพยพไปใช้แรงงานที่อื่น จำนวนป่าลดน้อยลง
ชาวบ้านจับปลาไม่ได้พอเพียงแก่การเลี้ยงชีพ ทั้งที่เมื่อก่อนระบบนิเวศนี้สมบูรณ์
ปลามีมากชาวบ้านจึงจับปลาขายและเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว (ชลธิรา สัตยาวัฒนา,
2546:154-164)
           นอกจากนี้แล้วยังมีกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่นๆอีก
เช่น การฆ่าตัดตอนปราบปรามยาเสพติดในสมัยรัฐบาลทักษิณ ปัญหาการค้าประเวณี
การก่อการร้าย และความยากจนเป็นต้นยังเป็นปัญหาของสังคมไทยจนปัจจุบัน 
สิทธิ
เป็นเสมือนทั้งเกราะในการคุ้มกันประชาชนให้พ้นจากภัยคุกคามของกำลังอิทธิพลและอำนาจที่ไม่ยุติธรรม
และเป็นเสมือนกุญแจให้ประชาชนสามารถใช้ไขไปสู่ประโยชน์ด้านต่างๆ ได้
โดยในที่นี้จะเน้นเฉพาะสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติรับรองไว้
ซึ่งมีขอบเขตครอบคลุมถึงผลประโยชน์จากโอกาสและทางเลือกอันพึงมี พึงกระทำ และพึงได้
โดยที่สิ่งนั้นไม่ถูกโต้แย้งและขัดขวางโดยกฎหมาย องค์กรรัฐเจ้าหน้าที่รัฐ
และคนอื่น
ทั้งนี้โดยที่ประชาชนมีอิสระตามเสรีภาพในการใช้สิทธินั้นได้ตามเจตจำนงอิสระของตนเองหรือตามความสามารถในการตกลงใจของตนเองได้ด้วย
ไม่อยู่ภายใต้การบังคับกะเกณฑ์โดยอิทธิพลอย่างอื่น
ทั้งนี้สามารถจำแนกสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของประชาชน ออกได้เป็น 3 ส่วนดังนี้
คือ สาระสำคัญของสิทธิ พันธะของรัฐที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และการใช้ประโยชน์จากสิทธิเสรีภาพของประชาชน
สาระสำคัญของสิทธิ
ได้แก่
        1) สิทธิ เสรีภาพในความเป็นมนุษย์ เป็นสิทธิ
เสรีภาพ เกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย ความคิด จิตใจ และความเป็นอยู่ของประชาชน
ซึ่งถือเป็นสิทธิจะอยู่ จะเป็น หรือเป็นสิทธิที่ติดมากับตัวของประชาชนทั้งหลาย
ตั้งแต่เกิดมาเป็นคน โดยที่รัฐไม่อาจปฏิเสธความเป็นคน
และศักดิ์ศรีความเป็นคนของประชาชนด้วยการกระทำที่เป็นการล่วงล้ำเกิน คุกคาม
หรือละเมิดได้ เช่น การไม่ถูกลงโทษด้วยวิธีโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
การมีเสรีภาพในเคหสถานส่วนตัว เสรีภาพการเดินทาง การนับถือศาสนา การสื่อสาร คมนาคม
การแสดงความคิดเห็น การมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และการเลือกถิ่นที่อยู่ เป็นต้น
(ตามมาตรา 4 มาตรา 26 และมาตรา 28) ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะอยู่ จะเป็น หรือ
เป็นสิทธิที่ติดมากับตัวประชาชน
ก็เพราะเป็นสิทธิที่เป็นส่วนควบติดอยู่กับความเป็นคนตามธรรมชาติ
โดยที่ทุกคนมีอยู่เหมือนกัน รัฐไม่อาจเข้าไปแทรกแซงให้เกิดความแตกต่าง หรือ
สูญสิ้นสิทธิอันเป็นเสมือนองค์ประกอบของชีวิต จิตใจ และร่างกายนั้นได้ ดังนั้น
สิทธิ
เสรีภาพในความเป็นมนุษย์จึงเป็นสิทธิของคนที่ห้ามไม่ให้รัฐกระทำซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐ
         
         2) สิทธิ เสรีภาพในความเป็นพลเมือง เป็นสิทธิ
เสรีภาพเกี่ยวกับการที่สามารถเรียกร้องความต้องการขั้นพื้นฐานจากรัฐในฐานะที่เป็นราษฎรของรัฐได้
ซึ่งรัฐมีหน้าที่ให้การสนองตอบในรูปของบริการสาธารณะ ถือเป็นสิทธิที่จะเรียกขอได้
จะรับเอาได้ หรือเป็นสิทธิที่ตามมากับตัวโดยที่งอกขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองหรือเป็นราษฎรของรัฐ
โดยที่รัฐไม่อาจจะปฎิเสธความรับผิดชอบหรือความช่วยเหลือด้วยการเพิกเฉยไม่กระทำการตอบสนองตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนซึ่งรัฐมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองได้
เช่น 
                -
สิทธิในการรับการศึกษา
(ตามมาตรา 43) 
                -
สิทธิของผู้บริโภค
                -
เสรีภาพในการชุมนุม
                -
เสรีภาพในการรวมตัวเป็นหมู่คณะ
                -
สิทธิการรับข้อมูลข่าวสารจากรัฐ
                -
เสรีภาพการจัดตั้งพรรคการเมือง
                -
สิทธิการรับบริการสาธารณสุข
                -
สิทธิการฟ้องหน่วยราชการ
                -
สิทธิมีส่วนร่วมกับรัฐ
                -
สิทธิคัดค้านการเลือกตั้ง
                -
สิทธิในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและข้อบัญญัติท้องถิ่น
                -
สิทธิการเข้าชื่อถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งระดับชาติ
และระดับท้องถิ่น 
         ทั้งนี้
ในการใช้สิทธิเสนอกฎหมายนั้นมีขอบเขตจำกัดเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิ
เสรีภาพตามหมวด 3 และเกี่ยวกับนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามหมวด 5 เท่านั้น เป็นต้น 
         ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะเรียกขอได้
หรือจะรับเอาได้
หรือเป็นสิทธิที่ตามมากับตัวโดยที่งอกขึ้นมาจากความเป็นพลเมืองของรัฐ
เพราะเป็นสิทธิที่ขึ้นอยู่กับความเป็นพลเมืองของรัฐ
โดยที่การได้รับความยุติธรรมจากการใช้สิทธิสำคัญกว่าการได้รับประโยชน์จากสิทธิที่เท่ากัน
เช่น พลเมืองที่เด็กได้รับสิทธิการศึกษาภาคบังคับฟรี
แต่พลเมืองที่เป็นผู้ใหญ่ได้รับสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และสมัครรับเลือกตั้ง
ขณะที่พลเมืองที่ด้อยโอกาสจะได้รับสิทธิการสงเคราะห์จากรัฐ
ทั้งที่คนปกติทั่วไปไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว 
         ดังนั้นสิทธิเสรีภาพในความเป็นพลเมืองจึงเป็นสิทธิของพลเมืองที่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องได้รับประโยชน์เท่ากัน
แต่หากเป็นสิทธิอะไรของใครก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องรับผิดชอบในการสนองตอบต่อการใช้สิทธินั้น
กล่าวคือ พลเมืองที่เป็นเด็กย่อมสามารถเรียกร้องการศึกษาฟรีในภาคบังคับจากรัฐได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ก็ย่อมสามารถเรียกร้องการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้
ดังนั้นสิทธิเสรีภาพของพลเมืองจึงเป็นสิทธิที่สงวนไว้ให้เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดหาให้ประชาชน
หรือบังคับให้รัฐจะต้องกระทำซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นปฏิฐานกับรัฐ
        3) สิทธิในความเสมอภาค เป็นสิทธิ
เสรีภาพเกี่ยวกับการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันจากรัฐ หรือการไม่เลือกปฏิบัติ
เว้นแต่การเลือกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสียเปรียบ ผู้ด้อยโอกาส
ได้รับสิทธิโอกาสเท่าเทียมกับคนอื่นได้ ซึ่งถือเป็นสิทธิที่จะมีจะเหมือนหรือเป็นสิทธิ
เสรีภาพที่ดำรงอยู่นอกตัวของประชาชน (มาตรา 30) โดยที่รัฐไม่อาจปฏิเสธความเป็นกลาง
หรือความเป็นธรรมด้วยการละเลยเพิกเฉยไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย หรือ
หยิบยื่นโอกาสอันพึงมีพึงได้ให้กับประชาชนได้รับอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน
โดยที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะความแตกต่างตามธรรมชาติ
และเพราะการกระทำหรือละเว้นการกระทำของรัฐที่ไม่เท่าเทียมกัน เช่น 
                -การเสมอกันในกฎหมาย 
                -
การไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน
                -
การได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ
                -
การได้รับความคุ้มครองโดยรัฐ
และ
                -
สิทธิได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ
เป็นต้น 
        ที่กล่าวว่าเป็นสิทธิที่จะมีจะเหมือนหรือเป็นสิทธิ
เสรีภาพที่ดำรงอยู่นอกตัวของประชาชน ก็เพราะเป็นสิทธิที่ช่วยชดเชย
ความแตกต่างตามธรรมชาติของคนให้ได้รับโอกาสและศักยภาพใหม่เพิ่มขึ้น
โดยที่รัฐเป็นฝ่ายช่วยเสริมสร้างหรือเกื้อหนุนให้มีความเสมอเหมือนกัน
โดยที่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องได้รับประโยชน์ที่เท่ากันจากการได้รับสิทธินั้น เช่น
คนทั่วไปย่อมได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายเท่าเทียมกันในการขอแจ้งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเพื่อประกอบธุรกิจ
แต่ไม่จำเป็นว่าทุกคนจะประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยได้เท่าเทียมกันจากการประกอบธุรกิจนั้น
         ดังนั้นสิทธิในความเสมอภาคจึงเป็นสิทธิที่รัฐให้หลักประกันในการได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน
แต่รัฐไม่ต้องผูกพันว่าทุกคนจะต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการใช้สิทธินั้นให้ได้เท่ากันเสมอไป
         ดังนั้นสิทธิในความเสมอภาคจึงเป็นสิทธิที่กำหนดให้รัฐดำรงฐานะของความเป็นคนกลางในการถือดุลย์ระหว่างความแตกต่างกันตามธรรมชาติของคนกับความเท่าเทียมกันตามกฎหมายและการปฏิบัติของรัฐเพื่ออุดช่องว่างไม่ให้ความแตกต่างนั้นเป็นเหตุให้เกิดเงื่อนไขของความไม่ยุติธรรมขึ้นในสังคม
แต่ประโยชน์จากความยุติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องสร้างต่อขึ้นมาให้ตัวเองในภายหลังหรือไปหาเอาได้ข้างหน้า
เมื่อรัฐได้ช่วยสร้างหลักประกันความยุติธรรมให้แล้ว
ซึ่งอาจเรียกสิทธิแบบนี้ได้ว่าเป็นสิทธิที่เป็นพันธะของรัฐ
                     
   2) 
วัฒนธรรมทำหน้าที่หล่อหลอมบุคลิกภาพให้กับสมาชิกของสังคม 
ให้มีลักษณะเป็นแบบใดแบบหนึ่ง 
แม้ว่าบุคลิกภาพจะเป็นผลมาจากปัจจัยทางชีวภาพบางส่วนก็ตาม 
แต่การอาศัยอยู่ร่วมกับคนอื่นภายใต้กฎระเบียบสังคมเดียวกัน 
ทำให้คนมีบุคลิกภาพโน้มเอียงไปกับกลุ่มที่อาศัยอยู่ร่วมกัน 
เช่น 
เด็กที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นโจรจะมีบุคลิกภาพแตกต่างจากเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ประกอบอาชีพสุจริต 
บุคลิกภาพดังกล่าวจะแสดงออกในรูปนามธรรม 
เช่น 
ความเชื่อ 
ความสนใจ 
ทัศนคติ 
ความรู้ 
ความคิดสร้างสรรค์ 
และสิ่งที่มองเห็น 
เช่น 
การแต่งตัว 
กิริยาท่าทาง
เป็นต้น
                      
  3) 
วัฒนธรรมก่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
ก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่น 
ทั้งนี้หากสมาชิกของสังคมมีลักษณะคล้ายคลึงกัน 
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 
จะก่อให้เกิดความผูกพัน 
สามารถพึ่งพาอาศัยกันและกัน 
มีจิตสำนึกรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
ตลอดจนร่วมกันอนุรักษ์  และสืบสานวัฒนธรรมของตนให้อยู่รอดและพัฒนาก้าวหน้าต่อไป
                  
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า 
มนุษย์กับวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ 
เพราะต้องควบคู่กันไป 
วัฒนธรรมจะเป็นสิ่งที่ตอบสนองและสร้างเสริมให้มนุษย์อยู่ในสังคมอย่างเป็นปกติสุข
3.2 
คุณค่าของวัฒนธรรม
                  
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น 
และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นระบบเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ 
สภาพทางสังคม 
และสามารถตอบสนองความต้องการของคนในสังคมได้อย่างเป็นระบบ 
ซึ่งระบบของวัฒนธรรมประกอบด้วย 
3 
ระบบที่เชื่อมโยงกัน 
ดังนี้
1) 
ระบบคุณค่า 
หมายถึง 
ศีลธรรมของส่วนรวมของสังคม 
และจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่สร้างสรรค์ 
มักแสดงออกในรูปความคิดที่ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรม 
ความอุดมสมบูรณ์ 
และความยั่งยืนของสังคมและธรรมชาติบนพื้นฐานของการเคารพส่วนรวม
และเพื่อมนุษย์ด้วยกันเอง
2) 
ระบบภูมิปัญญา 
เป็นระบบที่ครอบคลุมวิธีคิดของสังคม 
เป็นการจัดการความสัมพันธ์ทางสังคม 
และความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม 
ซึ่งปรากฏในรูปของกระบวนการเรียนรู้ 
การสร้างสรรค์ 
การผลิตใหม่และการถ่ายทอดความรู้ผ่านองค์กรทางสังคมท้องถิ่นเพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม
3) 
ระบบอุดมการณ์อำนาจ 
หมายถึง 
ศักดิ์ศรีและสิทธิความเป็นมนุษย์ที่จะเสริมสร้างความมั่นใจ 
และอำนาจให้กับคนในชุมชน 
เพื่อเป็นพลังในการเรียนรู้ 
สร้างสรรค์ 
ผลิตใหม่ 
และถ่ายทอดให้เป็นไปตามหลักการของศีลธรรมที่เคารพความเป็นมนุษย์ 
ความเป็นธรรม 
และความยั่งยืน 
ของธรรมชาติ 
เพื่อรักษาความเป็นอิสระของสังคมตนเองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการครอบงำจากภายนอกด้วยเหตุนี้ 
สังคมทุกสังคม 
จึงมีวัฒนธรรมที่คนในสังคมนั้น
ๆ  ยกย่องว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า 
เป็นภูมิปัญญา 
และเป็นระบบอุดมการณ์ของสังคม 
อันส่งผลให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงเต็มเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและความเคารพในสังคมตนเอง 
ดังนั้น 
เราต้องยอมรับว่าทุกสังคมมีวัฒนธรรมของตนเอง 
ไม่ควรแสดงการดูถูกเหยียดหยามวัฒนธรรมของสังคมอื่น 
ในทางตรงกันข้ามก็ต้องไม่ดูถูกวัฒนธรรมของสังคมตนองหรือยกย่องวัฒนธรรมจากสังคมอื่นว่าดีกว่า
 เหนือกว่า  และน่ายกย่องกว่าวัฒนธรรมของตนเอง 
เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นเสมือนการลดศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของสังคมตนเอง 
ย่อมจะไม่เกิดความเจริญงอกงามใด
ๆ  แก่ตนเองและสังคมของตนเลย 
นอกจากนี้การเปรียบเทียบวัฒนธรรมของแต่ละสังคมว่าสูงต่ำ 
ดีเลวกว่ากัน 
เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ 
เพราะแต่ละวัฒนธรรมก็มีหน้าที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของแต่สังคม 
4. 
ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมในภูมิภาค
                  
ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของชนกลุ่มใหญ่
ๆ  ตามภาษาพูด 
ราว 
11  
กลุ่ม 
ซึ่งได้แก่ 
ชาวไทยที่พูดภาษาไทยกลาง 
ไทยใต้ 
ไทยอีสาน 
ไทยเหนือ 
ไทยมุสลิม 
(ภาคใต้) 
ไทยจีน 
ไทยมุสลิม 
(กรุงเทพฯ)  
ไทยมาเลย์ 
เขมรและกุย 
ชาวเขาเผ่าต่าง
ๆ  มอญ 
และชนอพยพอื่น 
ๆ 
เช่น เวียดนาม 
อินเดีย 
พม่า 
เป็นต้น
                  
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงจัดการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางโดยกำหนดให้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง 
และเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีของพระนครออกไปยังภูมิภาคต่าง
ๆ  ทั่วประเทศ 
ทำให้เกิดมีวัฒนธรรมหลักของไทยขึ้น 
แต่ในขณะเดียวกันก็ยกย่องและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเช่นกัน 
นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน 
สังคมไทยมีความเป็นปีกแผ่นและมีวัฒนธรรมหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศที่เด่นชัดทำให้สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมไทย 
กับวัฒนธรรมพม่า 
วัฒนธรรมลาว 
วัฒนธรรมเขมร 
และวัฒนธรรมของชนในภูมิภาคอื่นของเอเชียและของโลกได้อย่างชัดเจน 
เราจึงเรียกกันว่า 
“วัฒนธรรมไทย” 
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสังคมไทยเป็นที่รวมของชนหลายเผ่าพันธุ์และมีการยกย่องวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มแต่ละท้องถิ่นอย่างจริงจังตลอดมา 
ทำให้
มีวัฒนธรรมท้องถิ่นหรือวัฒนธรรมในภูมิภาค 
มีปรากฏย่างเด่นชัด 
และได้รับการอนุรักษ์ 
ส่งเสริม 
สืบสาน 
และถ่ายทอดมาตราบเท่าทุกวันนี้
                  
4.1
 วัฒนธรรมไทย  
                  
      วัฒนธรรมไทยเป็นวัฒนธรรมแกน  หรือวัฒนธรรมหลักของประเทศ  ได้หล่อหลอมให้คนไทยทุกหมู่เหล่าทุกภูมิภาคเป็นหนึ่งเดียว 
และนำมาปฏิบัติใช้เป็นวิถีชีวิตที่คนทั้งชาติต่างภูมิใจ 
และเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้เกิดความสมานฉันท์ของพลเมือง 
พื้นฐานวัฒนธรรมไทยมาจากสิ่งต่อไปนี้
                  
1) 
การมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 
สถาบันพระมหากษัตริย์ได้เกิดขึ้นอยู่ควบคู่กับสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านานนับตั้งแต่เริ่มต้นเป็นชาติไทย 
พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติที่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าแซ่ซ้อง 
ให้ความเคารพนับถือ 
และเป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนทั้งประเทศ 
ชนทุกเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยได้อยู่ร่วมกันสมัครสมานสามัคคีและรวมเป็นหนึ่งเดียว 
ก็เพรามีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 
พระราชกรณียกิจและขัตติยประเพณีด้านต่าง
ๆ  ล้วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนไทยอย่างแน่นแฟ้น
2)
พระพุทธศาสนา  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักของชาติไทย 
โดยรัฐให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครอง 
พระพุทธศาสนาได้กำหนดค่านิยม 
ความเชื่อ 
แนวความคิด 
และบรรทัดฐานทางสังคมของชนชาติไทย 
ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาจะได้รับการยกย่องและปฏิบัติตาม 
ทำให้วิถีชีวิตของคนไทยผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น
                  
อย่างไรก็ตาม 
รัฐได้ส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับศาสนิกชนคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น 
คือ 
ศาสนาคริสต์ 
ศาสนาอิสลาม 
และศาสนาอื่น
ๆ  เช่นกัน 
อีกทั้งได้สนับสนุนให้นำหลักธรรมของทุกศาสนาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิต
3) 
ภาษาไทย
 ภาษาไทยกลางเป็นภาษาประจำชาติที่คนไทยทั่วประเทศสามารถพูดเข้าใจและเขียนอ่านได้ 
ภาษาไทยกลางจึงเป็นตัวเชื่อมโยงให้คนในชาติติดต่อสื่อสาร 
และสร้างความผูกพันต่อกัน 
ทำให้คนไทยสามารถทำความเข้าใจวัฒนธรรมหลักปละวัฒนธรรมของภูมิภาคต่าง
ๆ  ได้ดี
4) 
อาชีพเกษตรกรรม 
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดประเทศหนึ่งของภูมิภาคมาช้านานแล้ว 
ประชากรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบทและมีชีวิตความเป็นอยู่ผูกพันกับพื้นดิน 
ท้องทุ่งและไร่นา 
ประเพณีและวัฒนธรรมส่วนใหญ่จึงมีพื้นฐานมาจากการเกษตรและการมีชีวิตอยู่ในชนบท 
อันเป็นรากฐานแห่งภูมิปัญญาทุกด้านของวิถีชีวิต 
แม้ในปัจจุบันที่ประชากรบางส่วนจะอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในเมือง 
และประอบอาชีพทางด้านอุตสาหกรรมและการบริการ 
แต่ความผูกพันกับชนบทและอาชีพเกษตรกรรม 
ซึ่งรวมไปถึงการประมงและการเลี้ยงสัตว์ยังฝังอยู่อย่างแน่นแฟ้น